วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

การแสดงระบำชาวนา

                 

“ระบำชาวนา” ซึ่งผู้แต่งทำนองเพลงนี้คือ 
นายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยและศิลปินแห่งชาติ ส่วนท่ารำนั้นท่านผู้หญิงแผ้ว
 สนิทวงศ์เสนี ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทยและศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้คิดและออกแบบท่ารำ
 เมื่อได้ชมการแสดงระบำชาวนา
แล้วจะมีสุนทรียภาพทางนาฏศิลป์ที่เกิดขึ้นดังนี้

       ตัวละคร เครื่องแต่งกาย

ตัวละครนั้นจะเป็นชาวบ้านทั้งหญิงและชาย  จะเป็นแต่งชุดม่อฮ่อม ซึ่งเป็นชุดที่เรียบง่าย 
ไม่หรูหรา เป็นชุดพื้นบ้านที่เห็นแล้วจะจะทำให้รู้ได้เลยว่าการแสดงชุดนี้ต้องเกี่ยวกับการทำนา

      ขับร้อง บทร้อง บทเจรจา บทพากย์ 

การแสดงระบำชาวนา เป็นการแสดงที่ไม่มีการขับร้อง ไม่มีเนื้อเพลง มีเพียงดนตรี
 ประกอบจังหวะซึ่งเป็นดนตรีที่มีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน

      ฉาก อุปกรณ์

อุปกรณ์ที่ใช้จะเป็นอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการทำนาตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงการเกี่ยวข้าว ฉะนั้นอุปกรณ์ที่ใช้จึง
ได้แก่ เมล็ดข้าว เคียวเกี่ยวข้าว รวงข้าง กระด้ง เป็นต้น

     ดนตรีที่ใช้ประกอบ

ใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น กลองยาว กลองโทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ และโหม่ง 
ดนตรีจะมีจังหวะที่สนุกสนาน เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน และให้หายเหนื่อยจากการทำนา

     ท่าทางสื่อความหมาย

ท่ารำจะเป็นท่าที่สะท้อนถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนา เป็นขั้นตอนการทำนาตั้งแต่เริ่มหว่านข้าว 
ไถนา เกี่ยวข้าว ฝัดข้าว เป็นต้น 


ท่ารำดังนี้














ระบำชาวเป็นการสื่อให้เห็นถึงชาวนาที่ได้ทำนาข้าวจากการปลูกจนได้เก็บเกี่ยวและ
ท่ารำที่สนุกสนามตามท้องถิ่นไทย



ที่มาhttps://sites.google.com/site/websitnatsilpphakhklang/nad-silp-phakh-klang/kar-saedng-raba-chawna

ระบำดอกบัว


ระบำดอกบัว เป็นการแสดงชุดหนึ่งจากละครเรื่อง "รถเสน" ตอนหมู่นางรำ แสดงถวายท้าววรถสิทธิ์ ซึ่งกรมศิลปากรได้ปรับปรุงขึ้น แสดงให้ประชาชนชมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ผู้ประพันธ์บทร้องคือ อาจารย์มนตรี ตราโมท ใช้ทำนองเพลงสร้อยโอ้ลาวของเก่า เป็นการแสดงหมู่

การแต่งกาย นุ่งจีบหน้านางห่มสไบเฉียง ใส่เครื่องประดับ หรือนุ่งจีบหน้านางห่มสไบเฉียงสองชาย ใส่เครื่องประดับ

อุปกรณ์ ดอกบัวประดิษฐ์

เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าไม้นวม หรือไม้แข็งก็ได้


เหล่าข้าคณาระบำ ร้องรำกันด้วยเริงร่า
ฟ้อนส่ายให้พิศโสภา เป็นทีท่าเยื้องยาตรนาดกราย
ด้วยจิตจงรักภักดี มิมีจะเหนื่อยแหนงหน่าย
ขอมอบชีวิตและกาย ไว้ใต้เบื้องพระบาทยุคล
เพื่อทรงเกษมสราญ และชื่นบานพระกมล
ถวายฝ่ายฟ้อนอุบล ล้วนวิจิตรพิศอำไพ
อันปทุมยอดผกา ทัศนาก็วิไล
งามตระการบานหทัย หอมจรุงฟุ้งขจร
ล้ายจะยวนเย้าภมร บินวะว่อนฟอนสุคันธ์ 

ท่ารำดังนี้


รำดอกบัวเป็นการรำที่นำดอกบัวมาประกอบการรำจะรำในงานมงคลต่างๆและท่ารำแต่ล่ะท่าเป็นท่าที่ปรับมาจากรำวงมาตรฐาน

ที่มาhttps://www.baanmaha.com/community/threads/34299-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7
ระบำตารีกีปัส


ตารีกีปัส เป็นนาฏศิลป์พื้นเมืองของชาวไทยมุสลิมทางใต้ คำว่า ตารีกีปัส เป็นภาษามลายูท้องถิ่น หมายถึง การฟ้อนรำที่ใช้พัดเป็นส่วนประกอบ ทำนองเพลงที่ใช้นำมาจากการแสดงชุด "ตาเรียนเนรายัง” ซึ่งเป็นเพลงประกอบการแสดงระบำประมงของชาวมาเลเซีย ส่วนชื่อเพลง คือ อีนัง ตังลุง เป็นเพลงผสมระหว่างมลายูกับจีน
การแต่งกาย มี ๒ ลักษณะ คือ
๑.การแต่งกายแบบแสดงคู่ชายหญิง
ชาย จะใส่เสื้อตือโล๊ะบลางอ มีลักษณะเป็นเสื้อคอกลมหรือคดตั้งแบบจีนแขนกว้างยาวจรดข้อมือ ผ่าอกครึ่งตัว กางเกงจะมีลักษณะเป็นกางเกงขายาวคล้ายกางเกงจีน ผ้านุ่งใช้ผ้ายกเงิน – ยกทอง หรือผ้าซอแกะนุ่งทับกางเกงสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย จับเป็นดอกด้านหนึ่งหรือทำจีบทบกัน ๕ จีบ เพื่อเน้นความแปลกใหม่ เข็มขัด ภาษามลายูท้องถิ่นเรียกว่า "เป็นแนะ” มีความกว้างประมาณ ๕ นิ้ว คาดทับผ้าซอแกะอีกทีหนึ่งหมวก ทำด้วยผ้าเนื้อดีสีดำ ลักษณะคล้ายหมวกหนีบ
หญิง จะสวมเสื้อ เรียกว่า "บานง” ภาษามลายูกลางจะเรียกว่า "บันดง” ซึ่งเป็นเสื้อเข้ารูปแขนยาว เน้นรูปทรงคอวี ผ่าอกหน้าตลอด มักติดกระดุมทองเป็นระยะ ตัวเสื้อยาวคลุมสะโพก เสื้อบานงมักใช้ผ้าค่อนข้างบาง อาจปักฉลุลวดลายตรงชายเสื้ออย่างสวยงาม และพับริมปกซ้อนไว้ตลอด ผ้าที่นิยมนำมาตัดเสื้อกันมาก คือ ผ้าลูกไม้ ผ้ากำมะหยี่ ผ้าต่วน และผ้าชีฟอง
ผ้านุ่ง ใช้ผ้าซอแกะหรือผ้าปาเต๊ะนุ่งสั้นแค่เข่า ทำเป็นจีบทบกันที่สะโพกทางด้านขวาประมาณ ๕ – ๗ จีบ ตามแบบการนุ่งผ้าของรัฐยะโฮร์ ประเทศมาเลเซียเพื่อเน้นความสะดวกในการร่ายรำ
ผม นิยมเกล้าผมขึ้นติดดอกไม้สีทองทางขวา ปักเรียงเป็นแถว

๒.การแต่งกายแบบผู้หญิงล้วน
เป็นการแต่งกายที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการแสดงชุดพิธีเปิดสนามงานกีฬาเขตแห่งประเทศไทยครั้งที่ ๑๔จ.ปัตตานี พ.ศ. ๒๕๒๔ ซึ่งมีลักษณะสำคัญ คือ เสื้อในนาง ไม่มีแขนสีดำ ผ้านุ่งเป็นโสร่งบาติกหรือผ้าซอแกะ สอดดิ้นเงินทองแบบมาเลเซีย ตัดเย็บแบบหน้านางหรือเลียนแบบจับจีบหางไหล ผ้าสไบ สำหรับคลุมไหล่ จับจีบเป็นใบด้านหน้า

เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง  ได้แก่ ไวโอลิน รำมะนา ฆ้อง แมนโดลิน ขลุ่ย มาลากัส
อุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง ได้แก่ พัด มีลักษณะเป็นแพสีดำขนาดใหญ่ มีการฉลุลวดลายสวยงามปัจจุบันมีการตกแต่งพัดโดยติดแถบสีทองหรือสีอื่นๆ ที่ริมพัด แล้วใช้แพรสีสดตัดเป็นริ้วๆ
โอกาสที่ใช้แสดง นิยมใช้แสดงในงานพิธีการ งานฉลอง และงานรื่นเริงทั่วไป

ระบำตารีกีปัส




การรำระบำตารีกีปัส เป็นการรำของทางภาคใต้โดยได้รับอิธิพลมาจากมาเลเชีย และท่ารำแต่ล่ะท่าจะใช้ใบพัดมาประกอบในการรำตลอดการแสดง เป็นท่ารำที่อ่อนไหวอีกด้วย


ที่มาhttp://www.prd.go.th/ewt_news.php?nid=103467

ระบำสุโขทัย







ระบำสุโขทัย ระบำสุโขทัย เป็นระบำชุดสุดท้ายของระบำโบราณคดี 5 ชุดที่ นายมนตรี
 ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยและศิลปินแห่งชาติเป็นผู้แต่งทำนองเพลง 
โดยนำเพลงสุโขทัยของเก่ามาดัดแปลงต่อเติมในตอนท้าย ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี 
ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทยและศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำขึ้น 
จากลักษณะท่าทางของประติมากรรมสมัยสุโขทัย อยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19–20 
พระพุทธรูปปูนปั้นและหล่อสำริดปางลีลา ดังนั้นท่ารำและดนตรี ตลอดจเครื่องแต่งกายใน
ระบำชุดนี้ จึงมีลีลาสำเนียงและแบบอย่างเป็นแบบไทยสมัยสุโขทัย
ในจังหวัดสุโขทัย โดยสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสุโขทัย 
ได้ฟื้นฟูและเผยแพร่ระบำสุโขทัยเข้าสู่กระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียน 
โดยคณาจารย์จากวิทยาลัยนาฏศิลป์สุโขทัย ....ได้จัดมหกรรมระบำสุโขทัยครั้งยิ่งใหญ่ 
ในพิธีเปิดงานกีฬาระดับอำเภอ ระดับจังหวัด มหกรรมปฏิรูปการเรียนรู้ มาหลายครั้ง 
และเปิดการแสดงในงานพิธีมงคลต่าง ๆ ทั่วทั้งจังหวัดสุโขทัย จึงทำให้ระบำสุโขทัย
ได้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายของคนทุกหมู่เหล่าในจังหวัดสุโขทัย และเผยแพร่ไปยั
จังหวัดใกล้เคียงเช่นกำแพงเพชร ตาก อุตรดิตถ์....
ปัจจุบันระบำสุโขทัยยังไปที่นิยมที่จะใช้เปิดการแสดงในงานประเพณีมงคลต่าง ๆ


เครื่องแต่งกาย

       เครื่องแต่งกายชุดระบำสุโขทัยนั้นได้อาศัยการศึกษาภาพลายเส้นรอบพระพุทธบาท
สัมฤทธิ์สมัยสุโขทัย ส่วนทรงผมดูแนวจากภาพลายเส้นจิตรกรรมที่วัดศรีชุม 
การแต่งกายแบ่งออกเป็นตัวเอกและตัวรอง ดังนี้
ศีรษะ-ทรงยอดรัศมีสำหรับตัวเอก และทรงระฆังคว่ำสำหรับตัวรอง
ต่างหู-เป็นดอกกลม
 เสื้อในนางสีชมพูอ่อน
กรองคอสีดำ ปักดิ้นและเลื่อม
ต้นแขนตัวรองพื้นสีดำ ปักดิ้นและเลื่อม ตัวเอกทำด้วยหนังลงรักปิดทอง
กำไลข้อมือตัวรองพื้นสีดำ ปักดิ้นและเลื่อม ตัวเอกทำด้วยหนังลงรักปิดทอง 
ข้อเท้าตัวรองพื้นสีดำ ปักดิ้นและเลื่อม ตัวเอกทำด้วยหนังลงรักปิดทอง
ผ้ารัดเอว ทำด้วยผ้าสีดำ มีลวดลายเป็นดอกไม้ประดับและห้อยที่ชายเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนม
เปียกปูน มีริบบิ้นสีเขียวห้อยมาทั้งสองข้าง
ผ้านุ่ง เป็นกระโปรงบานจีบหน้าสีส้ม มีลูกไม้สีขาวระบายเป็นชั้น ๆ
ทรงผม เกล้าผม ครอบด้วยที่รัดผม
จำนวนผู้เล่น ผู้หญิงจำนวน 7 คน (มากกว่านั้นก็ได้แต่ผู้แสดงต้องเป็นเลขคี่)

นาฎยศัพท์ที่ใช้ประกอบการรำ

     ๑.จีบหังสัสยะหัสต์ โดยการนำนิ้วหัวแม่มือจรดข้อสุดท้ายของนิ้วชี้ 
หักข้อนิ้วชี้ลงมา นิ้วที่เหลือกรีดดึงออกไป
     ๒.  ท่าปางลีลา เป็นท่าออก โดยมือซ้ายจีบแบบหังสัสยะหัสต์ 

มือขวาแบส่งไปหลังหงายท้องแขนขึ้น เอียงศีรษะด้านซ้าย ก้าวเท้าขวามาข้างหน้า 
เท้าซ้ายเปิดส้นเท้า
     ๓.ท่าดอกบัว คิดจากการเคารพบูชากราบไหว้ มือทำเป็นรูปดอกบัวอยู่ระหว่างอก

เป็นดอกบัวตูม ชูมือขึ้นแล้วค่อยๆบานปลายนิ้วออกเป็นบัวบาน
     ๔.ท่าพระนารยณ์ แทนองค์พระนารายณ์ พระอิศวร ท่าจีบแบบหังสัสยะหัสต์ 
ตั้งวงกลางข้างลำตัว กระดกเท้าซ้าย
    ๕.ท่ายูงฟ้อนหาง คิดจากท่านาฎศิลป์ แบมือ แขนทั้งสองตึงส่งหลัง 

หงายท้องแขนขึ้น
     ๖.ท่าบัวชูฝัก คิดจากการขอพร อีกมือหนึ่งไว้ข้างสะโพก มือจีบคว่ำแล้วสอดมือขึ้น 
เป็นท่าสอดสูงเหนือศีรษะ
     ๗.ท่าชะนีร่ายไม้ คิดจากมนุษย์โลกต้องการดำรงชีวิต หมุนเวียนเปลี่ยนไป 

โดยหมุนเป็นวงกลมแทนการเวียน ว่าย ตาย เกิด
มือข้างหนึ่งตั้งวงสูง มืออีกข้างหนึ่งหงายท้องแขน ลำแขนตึง

 แบมือและชี้ปลายนิ้วลง มองมือสูง
ท่ารำดังนี้














ระบำสุโขทัยเป็นการรำที่เก่าแก่และท่ารำแต่ล่ะท่าเป็นท่ารำที่โบราญ
และสวยงามเชื่อว่าระบำสุโขทัยมีมาแต่นานแล้ว

ที่มาhttps://sites.google.com/site/natsilpxnurak/raba-sukhothay

วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560

ฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน 

                  


ลำดับขั้นตอนการสอน
            ๑.  ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
                      โดยกล่าวถึงฉุยฉายพราหมณ์
            ๒.  ขั้นสอน
                     โดยอธิบายประวัติความเป็น  ลักษณะและรูปแบบการแสดง  การแต่งกาย  เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดง เนื้อร้องและทำนองเพลง  ท่ารำ  และโอกาสที่ใช้แสดงของเพลงฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน
ประวัติความเป็นมา
           ฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน  เป็นการแสดงชุดหนึ่งในโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนทศกัณฐ์ลงสวนเป็นบทบาทของทศกัณฐ์ เมื่อทศกัณฐ์ลักพานางสีดามาไว้ที่สวนขวัญแล้ว ก็แต่งกายทรงเครื่องงดงามเพื่อลงไปเกี้ยวนางสีดาที่สวนขวัญ  การรำฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน  เป็นการรำของทศกัณฐ์เพื่ออวดเครื่องแต่งกายที่สง่างาม  เพื่อเตรียมตัวไปเกี้ยวพาราสีนางสีดา
ลักษณะและรูปแบบการแสดง
           ฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน  เป็นการแสดงรำเดี่ยว  ที่อวดลีลาท่ารำที่สง่างาม  มีกระบวนท่ารำตามแบบแผนนาฏศิลป์ไทย     
            ลักษณะรูปแบบการแสดง แสดงได้ ๒  แบบคือ
                       ๑.  เป็นการแสดงชุดหนึ่งในโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนทศกัณฐ์ลงสวน
                       ๒.  เป็นการรำเดี่ยว ที่มีกระบวนท่าและลีลาสื่ออารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับความรัก
การแต่งกาย
           ฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน แต่งกายยืนเครื่องยักษ์สีเขียว แดง หัวโขนทศกัณฐ์หน้าทอง ห้อยผ้าแดงที่ไหล่ ถือพัดกรีดกรายแสดงกิริยาเจ้าชู้ จนเรียกกันว่ามีลีลาแบบเจ้าชู้ยักษ์  เครื่องแต่งกายมีดังนี้
รูปแบบการแต่งกายทศกัณฐ์ลงสวนดูจาก CD-ROM
การแต่งกายยืนเครื่องยักษ์ มีดังนี้
            -  กำไลเท้า
            -  สนับเพลา
             -  ผ้านุ่งหรือภูษา
            -  เสื้อหรือฉลององค์แขนยาว
            -  เกราะหรือรัดอก
            -  รัดสะเอวหรือรัดองค์
            -   ห้อยข้างหรือเจียระบาด  หรือชายแครง
            -   ห้อยหน้าหรือชายไหว
           -  เข็มขัดหรือปั้นเหน่ง
           -  กรองคอ
           -  อินทรธนู
           -  ผ้าพาดไหล่ ๒ ชาย
           -  ทับทรวง
           -  พาหุรัด
           -  สังวาล
           -  ตาบทิศ
           -  หัวโขนทศกัณฐ์  (หน้าทอง)
           -  ดอกไม้เพชร
           -  จอนหู
           -  ดอกไม้ทัด  (ด้านขวา)
           -  อุบะ
           -  ธำมรงค์หรือแหวน
           -  ทองกรหรือกำไลแผง
           -  แหวนรอบ
           -  ปะวะหล่ำ
           -  พัดด้ามจิ้ว
เครื่องดนตรี
            เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน 
 คือวงปี่พาทย์เครื่องห้า ประกอบด้วยปี่ใน  ระนาดเอก  ฆ้องวงใหญ่  กลองทัด  ตะโพนและฉิ่ง   
รูปวงปี่พาทย์เครื่องห้าดูจาก CD-ROM
เนื้อร้องและทำนองเพลง
             เพลงฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวนเป็นเพลงอัตรา ๒  ชั้น ( เหมือนฉุยฉายพราหมณ์ )  จนถึงต่อด้วยเพลงแม่ศรี  เพลงฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน  มีเนื้อร้องดังนี้  ( กรมศิลปากร,๒๔๙๔;๙๐ )
เนื้อร้องและทำนองเพลง
ร้องฉุยฉาย
                                          ฉุยฉายเอย                                จะไปไหนหน่อยเจ้าก็ลอยชาย
                            เยื้องย่างเจ้าช่างกราย                                หล่อนไม่เคยพบชายนักเลงเจ้าชู้
                            จะเข้าไปเกี้ยวแม่ทรามสงวน                     เจ้าช่างกระบวนหนักหนาอยู่
                                            ฉุยฉายเอย                               จะไปไหนนิดเจ้าก็กรีดกราย
                            เยื้องย่างเจ้าช่างกราย                                 หล่อนไม่เคยพบชายนักเลงเก่งแท้
                            จะเข้าไปเกี้ยวแม่ทรามสงวน                      เจ้าช่างกระบวนเสียจริงเจียวแม่
   
ร้องเพลงแม่ศรี
                                             ยักษ์ศรีเอย                                ยักษีโสภณ
                             เจ้าช่างแต่งตน                                           เลิศล้นหนักหนา (รับ)
                             ห้อยไหล่แดงฉาย                                       งามบาดนัยนา
                             ช่างงามสง่า                                               จริงยักษีเอย (รับ)
                                            ยักษีเอย                                     ยักษ์ทศศรี
                             วางท่าจรลี                                                 ท่วงทีองอาจ (รับ)
                             มุ่งใจใฝ่หา                                                 สีดานงนาฏ
                             แล้วรีบยุรยาตร                                            เข้าอุทยานเอย (รับ)
ความหมายของเนื้อเพลง
            ทศกัณฐ์เดินเยื้องย่างมีลีลาเจ้าชู้  นางสีดาไม่เคยพบชายเจ้าชู้ 
 จะเข้าไปเกี้ยวนางสีดาก็ยังเขินอยู่  นางสีดาไม่เคยพบนักเลงที่ เก่งกาจ  จะเข้าไปเกี้ยวนางสีดาก็ยังไม่ค่อยกล้า  พญายักษ์ทศกัณฐ์แต่งกายสวยงาม  ห้อยไหล่ด้วยผ้าสีแดงงามสง่ามาก  ท่วงท่างดงามมุ่งใฝ่ไปหานางสีดา  รีบเดินทางไปหานางสีดาที่อุทยานสวนขวัญ
ท่ารำ
           การรำฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน  เป็นการรำเดี่ยวที่อวดฝีมือของผู้แสดงที่มีลีลาสง่างามตามแบบแผนนาฏศิลป์ไทย  และต้องเป็นผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่สง่างาม  สอดคล้องกับบทบาทที่ได้รับ  
มีกระบวนท่ารำที่งดงาม  มีความแม่นยำในจังหวะและท่ารำ  และมีปฏิภาณไหวพริบดี  มีอารมณ์เจ้าชู้กรุ้มกริ่ม  กรีดกรายก้อร้อก้อติก
โอกาสที่ใช้แสดง
            ฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน  ใช้แสดงได้  ๒  โอกาสคือ
      ๑.  เป็นการแสดงประกอบการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์  ตอนทศกัณฐ์ลงสวน
      ๒.  เป็นการแสดงชุดมาตรฐานประเภทรำเดี่ยวที่มีท่วงท่าลีลาที่เป็นแบบแผนนาฏศิลป์ไทย
      ๓.  ขั้นสรุปและทบทวน
      ๔.  ขั้นวัดผล
                        ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดเกี่ยวกับความเป็นมา  ลักษณะและรูปแบบการแสดง  การแต่งกาย  เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน  แล้วร้องและรำเพลงเพลงฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน  
ท่ารำดังนี้

รําฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน เป็นการที่นำมาจากการแสดงโขนละคร
 เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนที่ทศกัณเกี้ยวพาราศรีนางศรีดา

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

          รำฉุยฉายพราหมณ์ 
             
รำฉุยฉายพราหมณ์ เป็นส่วนหนึ่งของการร่ายรำที่งดงามของตัวละครประเภทพระ จากบทพระราชนิพนธ์เบิกโรงดึกดำบรรพ์ เรื่องพระคเณศเสียงา ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เนื้อเรื่องย่อมีอยู่ว่า ปรศุรามเจ้าแห่งพราหมณ์ทะนงตัวว่าเป็นที่โปรดปรานของพระอิศวร คิดจะเข้าเฝ้าในโอกาสที่ไม่สมควรพระคเณศได้ห้ามปราม ในที่สุดเกิดการวิวาท ปรศุราม ขว้างขวานโดนงาซ้ายพระคเณศหักสะบั้นไป พระอุมากริ้วปรศุรามจึงสาปให้หมดกำลังล้มกลิ้งดั่งท่อนไม้พระนารายณ์ทรงเล็งเห็นและเกรงว่าคณะพราหมณ์จะขาดผู้ปกป้อง อีกทั้งทรงทราบว่าพระอุมา ทรงเมตตาต่อเด็ก จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์น้อย ซึ่งเป็นปฐมเหตุให้เกิดการรำฉุยฉายพราหมณ์ขึ้น เนื้อเรื่องต่อไปพระอุมาประทานพรให้พราหมณ์ และสามารถแก้ไขคำสาปให้กลับกลายเป็นดีได้ในที่สุด

การรำฉุยฉายพราหมณ์มีกำเนิดขึ้นในครั้งนั้น และเชื่อกันว่าเป็นศิลปะการร่ายรำที่งดงาม เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไป ลีลาท่ารำนั้นเชื่อกันว่าเป็นผลงานของพระยานัฏกานุรักษ์ (ทองดี สุวรรณภารต) สืบทอดผ่านมา แต่รูปแบบท่าร่ายรำในปัจจุบันของกรมศิลปากร เป็นผลงานการปรับปรุงของนางลมุล ยมะคุปต์ อดีตผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร โดยเป็นลีลาท่ารำของตัวพระที่มีลักษณะของความเป็นหนุ่มน้อยที่มีความงดงามและท่าที่นวยนาดกรีดกราย

โอกาสที่ใช้แสดง ใช้เป็นการรำเบิกโรงและการแสดงในงานเบ็ดเตล็ดทั่วไป

ดนตรีประกอบการแสดง ใช้วงปี่พาทย์บรรเลง
การบรรเลงดนตรีในเพลงฉุยฉาย
ฉุยฉายเป็นเพลงในอัตราจังหวะ ๒ ชั้น มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เดิมการร้องเพลงฉุยฉาย ใช้ดนตรีรับ ๑ - ๒ เที่ยวทุกๆท่อน แต่ปัจจุบันนิยมใช้ปี่รับเพียงเที่ยวเดียว ตามปกติเพลงฉุยฉายจะมีเพลง ๒ เพลงรวมอยู่ด้วยกัน คือเพลงฉุยฉาย และเพลงแม่ศรี โดยที่ในตอนแรกจะร้องเพลงฉุยฉายก่อน ร้องหมดท่อนหนึ่งก็มีปี่เป่าเลียนทำนอง และเสียงร้องเพียงชิ้นเดียวก่อน แล้วจึงบรรเลงรับต่อด้วยเพลงแม่ศรีติดต่อกันไป การที่ต้องร้องเพลงฉุยฉาย และเพลงแม่ศรีติดต่อกันนั้น เพราะถือว่า เพลงฉุยฉายเป็นเพลงช้า เพลงแม่ศรีเป็นเพลงเร็วซึ่งเป็นเพลง ๒ ชั้น เรียกตามหน้าทับว่า "สองไม้" การบรรเลงดนตรีจะเริ่มด้วยเพลงรัว ร้องเพลงฉุยฉาย และเพลงแม่ศรี จบด้วยเพลงเร็ว - ลา ซึ่งเป็นลักษณะที่นิยมโดยทั่วไป
โดยมีบทร้องดังนี้ 
ฉุยฉายเอย
ช่างงามขำช่างรำโยกย้าย
สะเอวแสนอ่อนอรชรช่วงกาย
วิจิตรยิ่งลายที่คนประดิษฐ์
สองเนตรคมขำแสงดำมันขลับ
ชม้อยเนตรจับช่างสวยสุดพิศ

สุดสวยเอย
ยิ่งพิศยิ่งเพลินเชิญให้งงงวย
งามหัตถ์งามกรช่างอ่อนระทวย
ช่างนาดช่างนวยสวยยั่วนัยนา
ทั้งหัตถ์ทั้งกรก็ฟ้อนถูกแบบ
ดูยลดูแยบสวยยิ่งเทวา

ร้องแม่ศรี
น่าชมเอย น่าชมเจ้าพราหมณ์
ดูทั่วตัวงาม ไม่ทรามจนนิด
ดูผุดดูผ่อง เหมือนทองทาติด
ยิ่งเพ่งยิ่งพิศ ยิ่งคิดชมเอย

น่ารักเอย น่ารักดรุณ
เหมือนแรกจะรุ่น จะรู้เดียงสา
เจ้ายิ้มเจ้าแย้ม แก้มเหมือนมาลา
จ่อจิตติดตา เสียจริงเจ้าเอย
...ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว-ลา
ท่ารำแต่ละท่าออกมาจากวรรณคดีไทยที่คู่กับประวัติศาสตร์ไทยมา 

                                     รำฉุยฉายเบญกาย
วันนี้ขอนำเสนอ รำฉุยฉายเบญกาย” เป็นรำฉุยฉายชุดหนึ่ง ที่เป็นที่รู้จักและมีชื่อในแวดวงนาฏศิลปไทย และประชาชนทั่วไป มีความงดงามไม่แพ้ ฉุยพราหมณ์ และฉุยฉายศูรปนักขา แต่จะมีเสน่ห์ไปคนละแบบ เรามารู้จักกับรำฉุยฉายเบญกายกันเลยนะครับ 
             ฉุยฉายเบญกาย อยู่ในการแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ชุดนางลอย เนื้อเรื่องกล่าวถึง ทศกัณฐ์พญายักษ์แห่งกรุงลงกา ใช้ให้นางเบญกายไปตัดศึก โดยแปลงเป็นนางสีดาและแสร้งว่าตายทำตัวลอยน้ำไปยังพลับพลาพระราม นางเบญจกายขอไปดูตัวจริงของนางสีดา แล้วแปลงตัวให้ละม้ายคล้ายนางสีดา และแสร้งทำจริตกิริยาให้เหมือนนางสีดา เพื่อขึ้นเฝ้าทศกัณฐ์
  
              ศิลปการรำของฉุยฉาย คือการรำเดี่ยวเพื่ออวดลีลาท่ารำของตัวละคร ที่สามารถแปลงกายและชมโฉมความสวยงามของตัวเองด้วยความพอใจ บทร้องฉุยฉายเบญกายนี้ เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  


ฉุยฉาย
                                                ฉุยฉายเอย                            เข้าไปเผ้าเจ้าก็กรีดกราย
                                เยื้องย่างเจ้าช่างแปลงกาย                       ให้ละเมียดละม้ายสีดานงลักษณ์
                                ถึงพระรามเห็นทรามวัย                           จะฉงนพระทัยให้อะเหลื่ออะหลัก
                                                งามนักเอย                             ใครเห็นพิมพ์พักตร์ก็จะรักจะใคร่
                                หลับก็จะฝันครั้นตื่นก็จะคิด                       อยากจะเห็นอีกสักนิดหนึ่งให้ชื่นใจงาม                                                คมดุจคมศรชัย                                  ถูกนอกทะลุในให้เจ็บอุรา
                                
รำฉุยฉายเบญกาย เป็นการำที่ยาก แต่ล่ะท่า เป็นท่าสละสลวย ท่ารำมีเยอะ และเป็นการแสดงโชว์เดี่ยว 

ฟ้อนหมากกั๊บแก้บ - ลำ หมากกั๊บแก้บ(กรับ)   เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะของภาคอีสาน มีด้วยกัน 2 ประเภท คือ 1. กั๊บแก้บไม้สั้น เป็นไ...