วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2560


แม่บทเล็ก

        แม่บท คือบทร้องคำกลอนที่มีการบอกชื่อของท่ารำ และมีการบรรจุบทร้องไว้ในทำนองเพลง “ชมตลาด” บทกลอนแม่บทมักนิยมนำมาใช้ประกอบท่ารำเพื่อให้ผู้รำได้ฝึกลีลาการรำที่เพิ่งขึ้นหลังจากการฝึกหัดเพลงช้าและเพลงเร็ว การรำแม่บทใช้เป็นการฝึกเพื่อให้เรียนรู้ถึงวิธีการรำที่เรียกว่า “รำใช้บท” โดยกลอนรำแม่บทที่ใช้สำหรับฝึกหัดจะมีอยู่ 2 แบบ คือแม่บทเล็ก และแม่บทใหญ่

ประวัติความเป็นมา
       รำแม่บทเล็ก จัดเป็นการร่ายรำตามท่ามาตรฐาน หรือที่เรียกกันว่า “แม่ท่า” เช่นเดียวกับการรำแม่บทใหญ่ แต่กระบวนการรำของแม่บทเล็กจะสั้นกว่าการรำของแม่บทใหญ่ เนื่องจากบทกลอนรำของแม่บทใหญ่จะมีคำกลอนยาวถึง 18 คำกลอน ส่วนแม่บทเล็กมีเพียง 6 คำกลอนเท่านั้น กลอนรำแม่บทเล็กเป็นบทประพันธ์ประเภทกลอนแปดตามฉันลักษณ์ไทย ตัดตอนนำเรื่องมาจากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 โดยการรำแม่บทเล็กนี้ได้จัดเป็นชุดการแสดงที่ใช้แสดงประกอบอยู่ในการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ตอน พระนารายณ์ปราบนนทุก เป็นการรำของนารายณ์แปลง ซึ่งมีเค้าโครงเรื่องย่อของการแสดง ดังนี้
        นนทุก เป็นยักษ์ตนหนึ่งซึ่งอยู่ ณ เชิงเขาไกรลาส มีหน้าที่ล้างเท้าให้แก่เทพบุตรและเทพธิดาที่มาเข้าเฝ้าพระอิศวร ด้วยความสนุกคึกคะนองไม่ว่าจะด้วยเป็นมนุษย์หรือเทพจนทำให้เกิดเป็นเรื่องราวอันโกลาหล กล่าวคือ เมื่อนนทุกล้างเท้าให้เหล่าเทพบุตร เทพธิดานั้น ก็ถูกกลั่นแกล้งสารพัด รังแกด้วยการตบหัวบ้าง เขกศีรษะบ้าง ถอนผมบ้าง ทำให้นนทุกได้รับความเจ็บแค้นทรมานทั้งกายและเจ็บทั้งใจตลอดเวลา จนกระทั่งศีรษะล้าน 
   จนผมโกร๋นโล้นเกลี้ยงถึงเพียงหู 
ฮึดฮัดขัดแค้นแน่นใจ          
เป็นชายดูดู๋มาหมิ่นชาย       
คิดแล้วก็รีบเดินมา          
ดูเงาในน้ำแล้วร้องไห้
ตาแดงดั่งแสงไฟฟ้า
มิตายจะได้มาเห็นหน้า
เฝ้าพระอิศราธิบดี
         เมื่อทนไม่ได้นนทุกจึงขึ้นเฝ้าพระอิศวร ณ ยอดเขาไกรลาสและทูลขอพระจากพระอิศวรเพื่อให้มีฤทธิ์ในการปกป้องตนเอง พระอิศวรจึงประทานนิ้วเพชรให้นนทุก ซึ่งนิ้วเพชรนี้เมื่อชี้ถูกขา ขาก็หัก ชี้ถูกแขน แขนก็หัก นนทุกดีใจเป็นอันมากและคิดที่จะแก้แค้นเหล่าเทวดาที่รังแกตน เมื่อได้เวลาเข้าเฝ้าพระอิศวร เทพทั้งหลายก็พากันเล่ากันอย่างสนุกสนานตามเช่นเคย นนทุกจึงใช้นิ้วชี้เหล่าเทวดาจนได้รับความเจ็บปวด และต่างพากันตกใจกลัวพากันหนีไป นนทุกมีความกำเริบใจทีสามารถเอาชนะเทวดาได้ จึงออกท่องเที่ยวไปในแดนสวรรค์และทำร้ายเหล่าเทวดาให้ได้รับความเดือดร้อน เทวดาทั้งหลายจึงกราบทูลพระนารายณ์ พระนารายณ์ได้ใช้อุบายด้วยการแปลงกายเป็นนางฟ้าเดินผ่านหน้านนทุก นนทุกเกิดติดใจในรูปแมความงามของนาง จึงออกปากเกี้ยวพาราสีของเป็นคู่ นางนารายณ์แสร้งตอบยินดีที่จะเป็นคู่แต่ต้องร่ายรำตามนางจึงจะยอมเป็นคู่หมาย ด้วยความพิศวาสหลงใหลนนทุกจึงตอบรับ ดังนั้นนางนารายณ์จึงรำเพลงแม่บทนี้โดยมี นนทุกรำตามไปด้วย และเมื่อถึงบทร้องที่ว่า 
  ฝ่ายว่านนทุกก็รำตาม
ถึงท่านาคาม้วนหางลง
ด้วยความพิสมัยไหลหลง
ก็ชี้ตรงเพลาพลันทันใด 
        เมื่อนนทุกชี้นิ้วเพชรชี้ไปที่เข่าของตนเอง เข่าก็หักทรุดลงนั่งและได้รู้ว่าได้เสียทีแก่พระนารายณ์ จึงเอ่ยปากตัดพ้อว่า พระนารายณ์นั้นใช้เล่ห์อิสตรีมาลวงทำไมไม่สู้รบกันซึ่งๆหน้า พระนารายณ์จึงประกาศว่าให้ไปจุติใหม่ ให้มีสิบหน้า ยี่สิบกร พระองค์จะทรงอวตารไปปราบให้ได้ ด้วยเหตุนี้นนทุกจึงอุบัติไปจุติในมนุษยโลก เป็นเจ้ากรุงลงกานามว่า “ทศกัณฑ์” ส่วนพระนารายณ์ก็อวตารมาเป็นพระรามและทำสงครามขับเคี่ยวจนกระทั่งทศกัณฑ์ถึงแก่ความตาย

ดนตรีและเพลงประกอบการแสดง 
       การบรรเลงในการรำแม่บทเล็กนั้น ใช้วงปี่พาทย์บรรเลง แล้วขับร้องด้วยเพลงชื่อ ชมตลาด และจบท้ายด้วยเพลงรัว หรือเพลงเร็วและเพลงลา หรือบางครั้งอาจจบด้วยเพลงต้นวรเชษฐ์แล้วต่อด้วยเพลงเร็วและเพลงลาก็ได้ ทั้งนี้สุดแต่ผู้รำจะเห็นสมควร
บทร้อง
 - ดนตรีบรรเลงเพลงรัว -
- เพลงชมตลาด -
    เทพนมปฐมพรหมสี่หน้า
ทั้งกวางเดินดงหงส์บิน
อีกช้านางนอนภมรเคล้า
เมขลาโยนแก้วแววไว
ยอดตองต้องลมพรหมนิมิต
ย้ายท่ามัจฉาชมสาคร
สอดสร้อยมาลาเฉิดฉิน 
กินรินเลียบถ้ำอำไพ
แขกเต้าผาลาเพียงไหล่ 
มยุเรศฟ้อนในนภาพร
อีกทั้งพิศมัยเรียงหมอน
พระสี่กรขว้างจักรฤทธิรงค์
- ดนตรีบรรเลงเพลงเร็ว และเพลงลา -
       เพลงชมตลาด  เป็นเพลงที่ใช้ประกอบการแสดงของตัวละครที่อยู่ในอารมณ์สนุกสนานรื่นเริง หรือใช้ในโอกาสบรรยายความงามต่าง ๆ เพลงชมตลาดจะมีลักษณะแปลกกว่าเพลงไทยทั่วไปตรงที่ การเว้นช่วงการตีฉิ่ง  จังหวะของการตีจะเป็นการตีในลักษณะช้า 1 คู่ และเร็ว 1 คู่ สลับกันไป

การแต่งกาย
       ผู้แสดงรำแม่บทเล็กนี้จะแต่งกายยืนเครื่องพระ-นาง โดยมีรายละเอียดของเครื่องแต่งกายตัวพระและตัวนาง ดังนี้
          การแต่งกายยืนเครื่องพระ ประกอบด้วย กำไลเท้า สนับเพลา ฉลององค์ พระภูษาหรือภูษา เข็มขัดหรือปั้นเหน่ง สังวาล กรองคอ ทับทรวง อินทรธนู รัดสะเอว ตาบทิศ ห้อยหน้า ห้อยข้าง แหวนรอบ ปะวะหล่ำ ทองกร ธำมะรงค์ ชฎา ดอกไม้ทัด อุบะหรือพวงดอกไม้         
          การแต่งกายยืนเครื่องตัวนาง ประกอบด้วย กำไลข้อเท้า เสื้อในนาง ผ้านุ่งหรือภูษาหรือพระภูษา เข็มขัดหรือปั้นเหน่ง สะอิ้งหรือสร้อยตัว ผ้าห่มนาง นวมนางหรือกรองศอ จี้นาง แหวนรอบ ปะวะหล่ำ กำไลตะขาบ กำไลสวมหรือทองกร ธำมะรงค์ มงกุฎ จอนหูหรือกรรเจียกจร ดอกไม้ทัด อุบะหรือพวงดอกไม้

ท่ารำ
        การรำแม่บทเล็ก   จะใช้วิธีเดียวกับการรำแม่บทใหญ่ คือ เมื่อร้องและรำไปได้ 2 คำกลอน ปี่พาทย์จะบรรเลงรับครั้งหนึ่งเพื่อพักเสียงของผู้ร้อง โดยขณะที่ปี่พาทย์บรรเลงผู้รำจะต้องรำ "ซัดท่า" ซึ่งหมายถึง การรำตามจังหวะและทำนองที่บรรเลงรับ  เพื่อฝึกให้ผู้รำได้รู้จักใช้เท้าและใช้มือสลัดไปตามจังหวะ  โดยการรำซัดท่าจะเลือกเอาท่ารำจากแม่ท่าหรือท่าเชื่อมที่ได้ฝึกหัดแล้วบางท่ามารำทวนอีกครั้งหนึ่ง  ทั้งนี้มิได้มีกฏเกณฑ์บังคับ ขึ้นอยู่กับครูผู้ฝึกหัดหรือผู้รำจะเลือกนำท่ามาเชื่อมก็ได้  สำหรับการรำท่าโบก เมื่อจบคำกลอนของแม่บทเล็กจะแตกต่างจากแม่บทใหญ่ตรงที่ ท่ารำของแม่บทใหญ่สามารถหันตัวได้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา  แต่ในการรำของแม่บทเล็กจะหันตัวโบกเพียงด้านขวาเพียงด้านเดียว

โอกาสที่ใช้ในการแสดง
       การรำแม่บทเล็ก  มักใช้แสดงประกอบการแสดงเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน พระนารายณ์ปราบนนทุก  หรือมักใช้แสดงในงานมงคลต่าง ๆ ได้โดยทั่วไป
แม่บทเล็กเป็นการรำที่เป็นมาตราฐานของการรำนาฏศิลป์ท่าแต่ล่ะท่าของนาฏศิลป์ส่วนใหญ่ก็จะมักเอาท่ารำของ แม่บทเล็ก ไปประกอบท่ารำ ในแต่ล่ะท่า 

ระบำเทพบันเทิง

               ระบำเทพบันเทิง  เป็นการแสดงประเภทระบำมาตรฐาน  ซึ่งกรมศิลปากรได้ปรับปรุงขึ้นใช้เป็นระบำของเทพบุตรนางฟ้าฟ้อนรำบำเรอองค์
ปะตาระกาหลาในละครในเรื่องอิเหนา ตอนลมหอบ  ได้นำออกแสดงแก่ประชาชน ณ โรงเรียนละครศิลปากร เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๙  
ผู้ประพันธ์บทร้อง  และปรับปรุงทำนองเพลงแขกเชิญเจ้ากับเพลงยะวาเร็วคือนายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย กรมศิลปากร










ลักษณะและรูปแบบการแสดง
           ระบำเทพบันเทิง   เป็นระบำมาตรฐานชุดหนึ่ง  ในละครในเรื่องอิเหนาตอนลมหอบ  ซึ่งเป็นระบำของเทพบุตรนางฟ้าฟ้อนรำ เพื่อบวงสรวงองค์ปะตาระกาหลา มีลักษณะรูปแบบการแสดงได้ ๒  แบบคือ
                        ๑.  เป็นการแสดงชุดเป็นตอนในละครในเรื่องอิเหนา ตอนลมหอบ
                        ๒.  เป็นระบำมาตรฐาน คู่พระ นาง ที่แสดงในงานมงคลทั่วไป
การแต่งกาย
           ระบำเทพบันเทิงแต่งกายยืนเครื่องพระ นาง   เนื่องจากเป็นบทบาทของเทวดานางฟ้า มาฟ้อนรำเพื่อบวงสรวงองค์ปะตาระกาหลา มีเครื่องแต่งกายดังนี้
รูปการแต่งการยืนเครื่องพระ 
การแต่งกายแบบยืนเครื่องพระ มีดังนี้
                -  กำไลเท้า
                -  ห้อยข้างหรือเจียระบาด
                -  สนับเพลา
                -  ผ้านุ่งหรือภูษา
                -  ห้อยหน้าหรือชายไหว
                -  เสื้อหรือฉลององค์แขนยาว
                -  รัดสะเอวหรือรัดองค์
                -  เข็มขัดและปั้นเหน่ง
                -  กรองคอ
                -  อินทรธนู
                -  ทับทรวง
                -  พาหุรัด
                -  สังวาล
                -  ตาบทิศ
                -  ชฎา
                -  ดอกไม้เพชร
                -  จอนหู
                -  ดอกไม้ทัด (ด้านขาว)
                -  อุบะ
                -  ธำมรงค์หรือแหวน
                -  ทองกรหรือกำไลแผง
                -  แหวนรอบ
                -  ปะวะหล่ำ
รูปการแต่งกายยืนเครื่องนาง ดูจาก CD-ROM
การแต่งกายแบบยืนเครื่องนาง มีดังนี้
                -  กำไลเท้า
                -  เสื้อในนาง แล้วสวมสะอิ้ง (สร้อยตัว)
                -  ผ้านุ่งนางหรือภูษา
                -  เข็มขัดและปั้นเหน่ง
                -  ผ้าห่มนาง
                -  นวมนางหรือกรองคอ
                -  จี้นางหรือตาบทับ
                -  พาหุรัด
                -  แหวนรอบ
                -  ปะวะหล่ำ
                -กำไลตะขาบ
                -  ทองกร
                -  ธำมรงค์หรือแหวน
                -  มงกุฎกษัตรีย์
                -  ดอกไม้ทัด(ด้านซ้าย)
                -  อุบะ









เครื่องดนตรี
           เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบระบำเทพบันเทิง คือ วงปี่พาทย์เครื่องห้า  ประกอบด้วย ปี่ใน  ระนาดเอก  ฆ้องวงใหญ่  กลองทัด  ตะโพนและฉิ่ง
รูปวงปี่พาทย์เครื่องห้าดูจาก 
ท่ารำ
            ระบำเทพบันเทิง  เป็นระบำมาตรฐานที่เป็นการรำคู่พระ นาง ที่ประสานสัมพันธ์กัน มีการตีบทตามบทร้อง และทำนองเพลง  โดยใช้กระบวนท่ารำตามแบบแผนนาฏศิลป์ไทย
โอกาสที่ใช้แสดง
           ระบำเทพบันเทิง ใช้แสดงได้ ๒ โอกาส คือ
                        ๑.  เป็นระบำของเทพบุตรนางฟ้าฟ้อนรำบำเรอองค์ปะตาระกาหลา  ในละครในเรื่องอิเหนา ตอนลมหอบ
                        ๒.  เป็นระบำที่แสดงในงานมงคลทั่วไป

ท่ารำประกอบระบำเทพบันเทิง      



                                          
การแต่งกายลักษณท่าการรำของระบำเทพบรรเทิงเป็นเพลงรำที่สวยงามสละสรวยในทุกท่วงท่าทีและเนื้อร้องที่สอดคล้องกับท่ารำ

วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

                                         รำวงมาตรฐาน
                                     

  รำวงมาตรฐาน หมายถึง ศิลปะแห่งการฟ้อนรำให้เข้ากับจังหวะหน้าทับ ใช้ท่ารำที่เป็นแบบฉบับมาตรฐานโดยรำเป็นวงกลม หันหน้าทวนเข็มนาฬิกา  การรำวงมาตรฐานเป็นการรำที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดยการดูแลของกรมศิลปากรร่วมกับ กรมประชาสัมพันธ์ช่วยกันจัดทำขึ้น เพื่อให้เป็นแบบแผนในการใช้ท่ารำให้งดงามถูกต้องตามหลักนาฏศิลป์ไทย

รำวงมาตรฐาน05

               รำวง มาตรฐาน มีกำเนิดมาจากการรำโทน แต่เดิมการรำโทนเป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวไทยทั่วไป ใช้เล่นกันในฤดูเทศกาลเฉพาะท้องถิ่นบางจังหวัด ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชาชนในพระนครและธนบุรีนิยมรำโทนกันทั่วไป เพราะรำง่าย และรำได้ทุกเพศทุกวัย จึงใช้เป็นเครื่องปลอบใจได้เป็นอย่างดี

                รำ โทน หรือ รำวงพื้นบ้านได้รับความนิยม จึงทำให้แพร่หลายอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นานนัก จอมพล ป.พิบูลสงคราม ท่านให้ความสนใจและสนับสนุนรำวงอย่างจริงจัง จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากรจัดการปรับปรุงการรำ และบทร้องให้มีแบบแผนที่แน่นอน เพื่อเชิดชูศิลปวัฒนธรรมไทยการละเล่นพื้นบ้านให้ทีระเบียบ แบบแผนเป็นแบบฉบับต่อคนรุ่นหลัง กรมศิลปากร ประพันธ์ 4 บทเพลง คืองามแสงเดือน,ชาวไทย ,รำซิมารำและ คืนเดือนหงาย ท่านผู้หญิงละเมียด พิบูลสงคราม ประพันธ์ 6 บทเพลง คือ ดอกไม้ของชาติ , ดวงจันทร์-วันเพ็ญ ,หญิงไทยใจงาม ,ยอดชายใจหาญ ,ดวงจันทร์ขวัญฟ้า ,บูชานักรบ
                 กรม ศิลปากรได้นำท่ารำจาก ท่าแม่บทของนาฏศิลป์ไทย มากำหนดเป็นท่ารำของแต่ ละบท เพื่อให้เป็นต้นฉบับ จึงเรียกว่า “รำวงมาตรฐาน” แม้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2แล้ว รำวงมาตรฐานก็ยังคงไม่รับความนิยม ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้มีผู้นำเอาไปสลับกับการเต้นลีลาศ ซึ่งชาวต่างชาติก็นิยมนำรำวงมาตรฐานไปเล่นกันอย่างแพร่หลายจนเป็นศิลปะที่ นิยมกันไปนานาประเทศ มีนักประพันธ์ชาวอเมริกันบางท่านที่ชอบ
                รำวง มาตรฐานจึงนำไปเขียนกล่าวขวัญไว้ในหนังสือ Theatre In The East โดยเขาเป็นผู้แต่งแต่เรียก “รำวง” เพี้ยนไปเป็น “รำบวง”  สำหรับผู้ประดิษฐ์ท่ารำวงมาตรฐานคือ หม่วมต่วน (ศุภลักษณ์  ภัทรนาวิก) นางมัลลี คงประภัศร์ และคุณครูละมุล ยมะคุปต์   
                                            
                                  ลำดับต่อไปก็จะเป็นการนำพาทุกคนที่เข้ามาชมได้รู้จักท่ารำและได้ศึกษาในรายวิชานาฏศิลป์ได้หวังว่าทุกคนทุกท่านจะชอบในการนำเสนอในรูปแบบนี้ขอบคุณครับ          

                                              ๑๐.เพลงบูชานักรบ





เพลงบูชานักรบ
คำร้อง   ท่านผู้หญิงละเอียด  พิบูลสงคราม
ทำนอง  ครูเอื้อ  สุนทรสนาน
 น้องรักรักบูชาพี่
เป็นนักสู้เชี่ยวชาญ
น้องรักรักบูชาพี่
หนักแสนหนักพี่ผจญ
น้องรักรักบูชาพี่
บากบั่นสร้างหลักฐาน
น้องรักรักบูชาพี่
เลือดเนื้อพี่พลีอุทิศ
 ที่มั่นคงที่มั่นคงกล้าหาญ
สมศักดิ์ชาตินักรบ
ที่มานะที่มานะอดทน
เกียรติพี่ขจรจบ
ที่ขยันที่ขยันกิจการ
ทำทุกด้านทำทุกด้านครันครบ
ที่รักชาติที่รักชาติยิ่งชีวิต
ชาติยงอยู่ยงอยู่คู่พิภพ 
ความหมาย  น้องรักและบูชาพี่ เพราะมีความกล้าหาญ เป็นนักสู้ที่เก่งกล้าสามารถสมกับเป็นชายชาตินักรบที่มีความมานะอดทน แม้ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญ พี่ก็ต่อสู้จนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว  นอกจากนี้ยังขยันขันแข็งในงานทุกอย่าง อุตส่าห์สร้างหลักฐานให้มั่นคง และพี่ยังมีความรักในชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าชีวิต ยอมสละได้แม้ชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อให้ชาติไทยคงอยู่คู่โลกต่อไป
ใช้ท่าประกอบ 

น้องรัก      เที่ยวที่ ๑ ท่าหญิง "ขัดจางนาง" ท่าชาย "จันทร์ทรงกลด"
(หญิง)  มือทั้งสองจีบคว่ำ
(ชาย)  มือทั้งสองจีบคว่ำระดับวงกลาง

รักบูชาพี่    (หญิง)  พลิกข้อมือเป็นจีบหงายไขว้กัน มือขวาทับซ้ายอยู่ระดับวงล่าง เอียงขวา
(ชาย)  พลิกข้อมือเป็นจีบหงายระดับวงกลาง งอแขนเล็กน้อย

ที่มั่นคง     (หญิง)  สลัดจีบเป็นมือแบหงายปลายนิ้วตก
(ชาย)  สลัดจีบเป็นมือแบหงายปลายนิ้วตก ระดับวงกลาง

ที่มั่นคงกล้าหาญ     (หญิง)  พลิกมือขึ้นตั้งวงล่าง มือยังไขว้กันอยู่เอียงซ้าย เป็นท่า"ขัดจางนาง"
(ชาย)  พลิกมือขึ้นตั้งวงกลาง เป็นท่า "จันทร์ทรงกลด"
การก้าวเท้า เท้าขวาก้าวข้าง ก้าวเท้าซ้ายไขว้ ก้าวเท้าขวา แล้วจรดจมูกเท้าซ้ายย่อเข่าลง จากนั้นเท้าซ้ายก้าวข้าง เท้าขวาก้าวไขว้ เท้าขวาจรดจมูกเท้าแล้วย่อเข่า ทำเช่นนี้สลับกันตามจังหวะ จนจบหนึ่งรอบ 

น้องรักรักบูชาพี่     เที่ยวที่ ๒ ท่าหญิง "ล่อแก้ว" ท่าชาย "ขอแก้ว"
(หญิง)  จังหวะที่ ๑ มือซ้ายเลื่อนขึ้นไปตั้งวงบน มือขวาจีบล่อแก้วคว่ำ แล้วเปลี่ยนเป็นจีบล่อแก้วหงาย หักข้อมือเข้าลำแขน แขนตึงต่ำกว่าไหล่เล็กน้อย
(ชาย)  จังหวะที่ ๑ มือซ้ายตั้งวงบน มือขวาช้อนมือหมุนข้อมือไปทางนิ้วก้อย แล้วแบมือในลักษณะขอ โดยยื่นมือไปรับแก้วของหญิง แขนงอเล็กน้อย
การก้าวเท้าเหมือนกัน โดยเท้าขวาหนักหลังก่อน เริ่มก้าวเท้าซ้าย ก้าวเท้าขวา เท้าซ้ายวางหลัง

ที่มั่นคงกล้าหาญ          (หญิง)  จังหวะที่ ๒ ปล่อยจีบล่อแก้วลงเป็นแบมือหงายปลายนิ้วตก แล้วยกขึ้นตั้งวงบน มือซ้ายจีบล่อแก้วคว่ำระดับวงบนแล้วเปลี่ยนเป็นจีบล่อแก้วหงาย
(ชาย)  มือขวาเปลี่ยนไปเป็นตั้งวงบน มือซ้ายแบมือยื่นออกไปรับแก้วของหญิง
การก้าวเท้า เท้าซ้ายหนักหลังก่อน แล้วก้าวเท้าขวา ก้าวเท้าซ้าย เท้าขวาวางหลัง

 

สำหรับเพลงรำวงมาตรฐานทั้งหมด ๑๐ เพลงนี้แต่ล่ะเพลงก็ใช้ท่าทางหรือท่ารำประกอบ ก็แตกต่างกันไป โดยท่าำรำแต่ล่ะท่าก็จะมีความสละสรวยในท่ารำในเพลงนั้นๆ หวังว่าทุกท่านได้รับความรู้จาก ท่ารำของรำวงมาตรฐาน





                                       ๙.เพลงยอดชายใจหาญ


เพลงยอดชายใจหาญ 
        คำร้อง   ท่านผู้หญิงละเอียด  พิบูลสงคราม
        ทำนอง  ครูเอื้อ  สุนทรสนาน
                โอ้ยอดชายใจหาญ         ขอสมานไมตรี
                น้องขอร่วมชีวี               กอบกรณีย์กิจชาติ
                แม้สุดยากลำเค็ญ           ไม่ขอเว้นเดินตาม
                น้องจักสู้พยายาม            ทำเต็มความสามารถ
        ความหมาย  ขอผูกมิตรไมตรีกับชายผู้กล้าหาญ  และจะขอมีส่วนในการทำประโยชน์ทำหน้าที่ของชาวไทย แม้จะลำบากยากแค้น ก็จะขอช่วยเหลือจนเต็มความสามารถ

ใช้ท่าประกอบ 

น้องขอร่วมชิวีกอบกรณีกิจชาติ  (หญิง)  มือซ้ายตั้งวงบน มือขวาแบหงายระดับไหล่ แล้วพลิกข้อมือเป็นมือตั้ง เปลี่ยนเป็นมือหงายสลับกันไป
(ชาย)  มือขวาตั้งวงบน มือซ้ายจีบหงาย ระดับต่ำกว่าวงกลาง
ทำท่าเช่นนี้สลับกันจนจบเพลง  ส่วนการก้าวเท้า จะก้าวเท้าไปเรื่อยๆตามจังหวะของเพลงและเดิน
เบี่ยงตัวออกนอกวงรำ

 

ต่อไปจะเป็นท่าประกอบเพลงที่ ๑๐ โดยมีชื่อเพลงว่า เพลงบูชานักรบ


                                   ๘.เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า




เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า 
คำร้อง   ท่านผู้หญิงละเอียด  พิบูลสงคราม
ทำนอง  ครูเอื้อ  สุนทรสนาน
ดวงจันทร์ขวัญฟ้า      ชื่นชีวาขวัญพี่
จันทร์ประจำราตรี       แต่ขวัญพี่ประจำใจ
ที่เทิดทูนคือชาติ        เอกราชอธิปไตย
ถนอมแนบสนิทใน      คือขวัญใจพี่เอย
        ความหมาย  ในเวลาค่ำคืนท้องฟ้ามีดวงจันทร์ประจำอยู่  ในใจของชายก็มีหญิงอันเป็นสุดที่รักประจำอยู่เช่นกัน  สิ่งที่เทิดทูนยกย่องไว้ก็คือชาติไทยที่เป็นเอกราช มีอิสระแก่ตนไม่ขึ้นกับใคร และสิ่งที่แนบสนิทอยู่ในใจของชายก็คือหญิงอันเป็นสุดที่รัก
ใช้ท่าประกอบ ท่าช้างประสานงา , จันทร์ทรงกลด    ท่าเชื่อม  มือทั้งสองจีบคว่ำด้านหน้า เอียงซ้ายจีบมือหงายทั้งสองข้าง เหยียดแขนตึงไปข้างหน้าเสมอไหล่เป็นท่า "ช้างประสานงา"
ท่าเชื่อม ปล่อยจีบลงเป็นแบมือหงาย ปลายนิ้วตกลงอย่างรวดเร็ว
ท่าเชื่อม ปล่อยจีบลงเป็นแบมือหงาย ปลายนิ้วตกลงอย่างรวดเร็ว พลิกข้อมือทั้งสองขึ้น เป็นตั้งวงหน้าให้ปลายนิ้วชี้ขึ้นระดับคิ้ว หย่อนข้อศอกพองาม
เป็นท่า "จันทร์ทรงกลด"
การก้าวเท้า เช่นเดียวกับเพลงคืนเดือนหงาย โดยก้าวเท้าขวา ก้าวเท้าซ้าย แล้วใช้เท้าขวาวางหลัง ก้าวเท้าซ้าย ก้าวเท้าขวา ใช้เท้าซ้ายวางหลัง ทำเช่นนี้จนจบเพลง 
               ต่อไปจะเป็นท่าประกอบเพลงที่ ๙ โดยมีชื่อเพลงว่า เพลง ยอดชายใจหาญ ครับ


                                         ๗.เพลงหญิงไทยใจงาม


เพลงหญิงไทยใจงาม 
        คำร้อง   ท่านผู้หญิงละเอียด  พิบูลสงคราม
        ทำนอง  ครูเอื้อ  สุนทรสนาน
              เดือนพราว             ดาวแวววาวระยับ
              แสงดาวประดับ       ส่องให้เดือนงามเด่น
              ดวงหน้า               โสภาเพียงเดือนเพ็ญ
              คุณความดีที่เห็น     เสริมให้เด่นเลิศงาม
              ขวัญใจ                หญิงไทยส่งศรีชาติ
              รูปงามวิลาส          ใจกล้ากาจเรืองนาม
              เกียรติยศ              ก้องปรากฎทั่วคาม
              หญิงไทยใจงาม      ยิ่งเดือนดาวพราวแพรว
         ความหมาย  ดวงจันทร์ที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้ามีความงดงามมาก  และยิ่งได้แสงอันระยิบระยับของดวงดาวด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ดวงจันทร์นั้นงามเด่นยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนกับดวงหน้าของหญิงสาวที่มีความงดงามอยู่แล้ว ถ้ามีคุณความดีด้วย ก็จะทำให้หญิงนั้นงามเป็นเลิศ  ผู้หญิงไทยนี้เป็นขวัญใจของชาติ เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาติ รูปร่างก็งดงาม จิตใจก็กล้าหาญ ดังที่มีชื่อเสียงปรากฏอยู่ทั่วไป
ใช้ท่าประกอบ ท่าพรหมสี่หน้า, ยูงฟ้อนหาง   ท่าเชื่อมคือมือทั้งสองจีบคว่ำระดับวงกลาง 
 แล้วสอดจีบขึ้นไปตั้งวงบัวบาน เรียกว่าท่าพรหมสี่หน้าจากนั้นมือทั้งสองค่อยๆ ลดวงบัวบานลงมา ส่งมือทั้งสองไปด้านหลัง แขนตึงคว่ำมือปลายนิ้วเชิดขึ้น เป็นท่ายูงฟ้อนหาง แล้วเปลี่ยนเป็นท่าเชื่อมคือจีบคว่ำ  การก้าวท้าวเช่นเดียวกับเพลง "คืนเดือนหงาย" 
        ต่อไปจะเป็นท่าประกอบเพลงที่ ๘ โดยมีชื่อเพลงว่า เพลง ดวงจันทร์ขวัญฟ้า ครับ

ฟ้อนหมากกั๊บแก้บ - ลำ หมากกั๊บแก้บ(กรับ)   เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะของภาคอีสาน มีด้วยกัน 2 ประเภท คือ 1. กั๊บแก้บไม้สั้น เป็นไ...